SEO Voice หรือการค้นหาด้วยเสียง กำลังกลายเป็นหนึ่งในแนวโน้มที่สำคัญที่สุดในโลกของ SEO เนื่องจากการใช้งานอุปกรณ์สั่งงานด้วยเสียง เช่น สมาร์ทโฟน ลำโพงอัจฉริยะ (Amazon Echo, Google Home) และอุปกรณ์ IoT กำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว การปรับตัวในด้าน SEO เพื่อรองรับพฤติกรรมการค้นหาใหม่นี้จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นเพื่อรักษาอันดับของเว็บไซต์ในผลการค้นหา หรือที่เรียกว่า SEO Voice (คำนี้เรา Move On Marketing นิยามกันขึ้นมาเองนะครับ) ซึ่งไม่ว่าจะเป็นธุรกิจไหนๆ ก็ต้องปรับตัวตามความนิยมแม้แต่เราเองที่เป็นผู้ให้บริการ รับทำ SEO ก็ต้องให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ เราเลยอยากจะมาแชร์ความรู้ใหม่ๆ ให้ทุกท่านได้ทราบไปพร้อมๆ กัน
Voice Search (SEO Voice) คืออะไร และทำไมถึงสำคัญ
Voice Search หรือจะเรียกว่า SEO Voice คือการค้นหาผ่านคำสั่งเสียง ซึ่งทำให้ผู้ใช้งานสามารถค้นหาข้อมูลได้ง่ายดายและรวดเร็ว การที่ผู้ใช้งานไม่จำเป็นต้องพิมพ์ข้อความ ทำให้การค้นหาผ่านเสียงกลายเป็นช่องทางที่สะดวกยิ่งขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ที่ผู้ใช้งานไม่สะดวกในการพิมพ์ เช่น ขณะขับรถ หรือทำกิจกรรมอื่นๆ ที่ต้องใช้มือ
อุปกรณ์สั่งงานด้วยเสียง เช่น Google Assistant, Siri, Alexa มีบทบาทสำคัญในการสร้างความนิยมในการใช้คำสั่งเสียงเพื่อค้นหาข้อมูลในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะในแง่ของการค้นหาข้อมูลท้องถิ่น เช่น ร้านอาหาร สถานที่บริการใกล้เคียง หรือสภาพอากาศ นอกจากนี้ ข้อมูลจากการวิเคราะห์แสดงให้เห็นว่าผู้ใช้งานเลือกใช้การค้นหาด้วยเสียงมากขึ้น เนื่องจากความสะดวกสบายและการตอบสนองที่รวดเร็ว
เหตุผลที่การค้นหาด้วยเสียงเติบโต SEO Voice
1. ความสะดวกสบายในการใช้งาน
ใช้งานง่าย คือหนึ่งในปัจจัยหลักที่ทำให้การค้นหาด้วยเสียงเติบโตอย่างรวดเร็ว ผู้ใช้สามารถสั่งงานได้โดยไม่ต้องพิมพ์ข้อความ ซึ่งช่วยให้ค้นหาข้อมูลได้เร็วและมีความคล่องตัวสูงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการค้นหาข้อมูลระหว่างขับรถ หรือตอนทำงานบ้าน การใช้งานเสียงสามารถทำงานร่วมกับอุปกรณ์หลากหลายรูปแบบได้ดี เช่น สมาร์ทโฟน ลำโพงอัจฉริยะ และอุปกรณ์สวมใส่
2. การพัฒนาของ AI และ NLP (Natural Language Processing)
เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการประมวลผลภาษาธรรมชาติ (NLP) ได้รับการพัฒนาอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ระบบค้นหาด้วยเสียงสามารถเข้าใจและตอบสนองคำสั่งได้อย่างแม่นยำและธรรมชาติมากขึ้น เทคโนโลยีนี้ทำให้การค้นหาผ่านเสียงไม่เพียงแค่เป็นการค้นหาคำสั้นๆ แต่ยังสามารถประมวลผลประโยคที่ซับซ้อนได้ ทำให้การค้นหาด้วยเสียงเป็นเรื่องง่ายและมีประสิทธิภาพ
ผลกระทบของ Voice Search ต่อ SEO
การค้นหาด้วยเสียงทำให้แนวทางการทำ SEO เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก สิ่งที่เปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัดคือวิธีที่ผู้คนใช้ในการค้นหา คำค้นหาที่ใช้ในการพิมพ์มักจะเป็นคำสั้นๆ และตรงประเด็น แต่คำค้นหาผ่านเสียงมักจะมาในรูปแบบประโยคยาว เช่น จากคำว่า “ร้านกาแฟใกล้เคียง” ในการพิมพ์ อาจเปลี่ยนเป็น “ร้านกาแฟที่ใกล้ฉันมากที่สุดคือที่ไหน” เมื่อใช้การค้นหาด้วยเสียง
ปรับปรุง SEO ให้เหมาะสมกับ Voice Search จึงไม่เพียงแค่การเน้นคำสำคัญสั้นๆ แต่ต้องพัฒนาให้ครอบคลุม คีย์เวิร์ดแบบ Long-Tail-Keyword ที่เป็นภาษาพูดมากขึ้น รวมถึงการสร้างคอนเทนต์ที่ตอบคำถามของผู้ใช้อย่างชัดเจนและเจาะจง
แนวทางปรับคอนเทนต์สำหรับ Voice Search
1. เน้นคอนเทนต์ที่ตอบโจทย์คำถาม
หนึ่งในแนวทางสำคัญที่ช่วยให้เว็บไซต์สามารถปรากฏในผลการค้นหาด้วยเสียงคือการสร้างคอนเทนต์ที่ตอบคำถามผู้ใช้งานได้ชัดเจนและตรงประเด็น ผู้ช่วยเสียงมักจะดึงข้อมูลจากหน้าเว็บที่มีการจัดโครงสร้างข้อมูลในลักษณะที่เป็นคำถามและคำตอบ เช่น “วิธีทำแพนเค้กง่ายๆ” หรือ “ร้านกาแฟใกล้ฉันมีที่ไหนบ้าง”
2. สร้างเนื้อหาที่เป็นรูปแบบคำถาม-คำตอบ
สร้างคอนเทนต์ในรูปแบบคำถามและคำตอบ (Q&A) เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่ช่วยให้คอนเทนต์ของคุณปรากฏในผลการค้นหาด้วยเสียงได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเพิ่มหน้า FAQ (คำถามที่พบบ่อย) ซึ่งช่วยเพิ่มโอกาสที่คอนเทนต์จะถูกเลือกมาแสดงผล เนื่องจาก FAQ มักมีข้อมูลที่ตรงประเด็นและสั้น กระชับ
3. ปรับใช้ Long-tail Keywords
เนื่องจากการค้นหาด้วยเสียงมักมาในรูปแบบของประโยคยาวและเป็นภาษาพูด Long-tail Keywords จะช่วยให้เว็บไซต์เข้าถึงผู้ใช้งานได้ดียิ่งขึ้น ตัวอย่างเช่น แทนที่จะใช้คำว่า “ร้านอาหารใกล้เคียง” คุณสามารถใช้คำว่า “ร้านอาหารที่ดีที่สุดใกล้ฉัน” หรือ “ร้านอาหารในเชียงใหม่ที่ควรไป” หรือ “จะทำ SEO ต้องเริ่มต้นยังไง” ซึ่งสอดคล้องกับพฤติกรรมการค้นหาด้วยเสียง
4. เน้นการทำ Local SEO
ผู้ใช้งานที่ใช้การค้นหาด้วยเสียงมักจะค้นหาสถานที่หรือบริการที่อยู่ในท้องถิ่น ดังนั้นการทำ Local SEO จึงมีความสำคัญ การปรับคอนเทนต์ให้ตอบสนองต่อคำค้นหาในท้องถิ่น เช่น การใส่ชื่อเมือง ชื่อสถานที่ หรือข้อมูลเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับท้องถิ่น จะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณมีโอกาสสูงที่จะปรากฏในผลการค้นหาท้องถิ่น
5. ใช้ Schema Markup เพื่อช่วยในการจัดอันดับ
ใช้ Schema Markup เป็นเครื่องมือที่สำคัญในการทำให้ระบบ Search Engine เข้าใจคอนเทนต์บนเว็บไซต์ได้ดีขึ้น โดยการเพิ่ม Schema Markup ในเว็บไซต์จะช่วยให้ระบบค้นหาด้วยเสียงสามารถดึงข้อมูลมาแสดงได้อย่างถูกต้อง มีประสิทธิภาพ และมีโอกาสที่จะแสดงในรูปแบบ Featured Snippets ซึ่งจะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณโดดเด่นในผลการค้นหา
เตรียมเว็บไซต์ให้พร้อมสำหรับ Voice Search ในอนาคต
เมื่อผู้ใช้งานเปลี่ยนมาใช้วิธีการค้นหาด้วยเสียงมากขึ้น เตรียมเว็บไซต์ให้พร้อมสำหรับพฤติกรรมนี้จะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณสามารถแข่งขันในโลกออนไลน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การปรับคอนเทนต์ให้ตอบคำถามชัดเจน ใช้ภาษาที่ตรงกับการพูดของผู้ใช้ และการปรับให้คอนเทนต์รองรับการค้นหาท้องถิ่น จะช่วยเพิ่มโอกาสในการปรากฏในผลการค้นหาด้วยเสียง นอกจากนี้ การเพิ่มความสำคัญในการทำ Local SEO และการใช้เทคนิคต่างๆ เช่น Schema Markup จะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณเติบโตและรองรับการเปลี่ยนแปลงในอนาคตได้อย่างแข็งแกร่ง