Page Experience คืออะไร

ในอดีต ถ้าอยากให้เว็บไซต์ติดอันดับ Google แค่มีคีย์เวิร์ดดี ๆ กับลิงก์เยอะ ๆ ก็เพียงพอแล้วแต่ในปี 2025 นี้ โลกเปลี่ยนไปมากครับ Google ไม่ได้มองแค่เนื้อหาแล้ว แต่เริ่มมองลึกไปถึง “ประสบการณ์ของคนที่เข้าเว็บเรา” หรือที่เรียกว่า Page Experience ใช่ครับ Google เริ่มวัดว่า “คนใช้งานเว็บเรารู้สึกยังไง?” แล้วนำไปใช้เป็นหนึ่งในตัวจัดอันดับเว็บไซต์ใครมองข้ามเรื่องนี้ไป อาจเสียอันดับให้คู่แข่งที่ “เว็บโหลดไวกว่า” และ “ใช้งานง่ายกว่า” โดยไม่รู้ตัว

Page Experience คืออะไรแบบเข้าใจง่าย ๆ

พูดสั้น ๆ Page Experience คือการวัดว่าเว็บของคุณ “น่าใช้งาน” แค่ไหนจากมุมมองของคนที่เข้าเว็บ Google จะดูดังนี้

  • เว็บโหลดเร็วไหม
  • ใช้งานง่ายบนมือถือหรือเปล่า
  • มีป๊อปอัปขัดลูกค้าไหม
  • เนื้อหามั่นคงปลอดภัยหรือเปล่า

พูดง่าย ๆ ก็คือ ถ้าคุณเป็นคนใช้งาน แล้วคุณรู้สึกดี Google ก็รู้สึกดีตามไปด้วย

Page Experience คืออะไรแบบเข้าใจง่าย ๆ

องค์ประกอบหลักของ Page Experience มีอะไรบ้าง

Google เคยประกาศชัดเจนว่า Page Experience ประกอบด้วย 4 ส่วนสำคัญดังนี้ครับ

Core Web Vitals

เน้นวัดความเร็วและความเสถียรของเว็บไซต์เป็นหลัก ประกอบด้วย

  • LCP (Largest Contentful Paint) เนื้อหาหลักโหลดเสร็จเร็วแค่ไหน (ควร < 2.5 วินาที)
  • FID (First Input Delay) ระยะเวลาที่เว็บเริ่มตอบสนองได้ (ควร < 100ms)
  • CLS (Cumulative Layout Shift) เนื้อหาในหน้าเว็บกระตุกหรือเลื่อนมั่วระหว่างโหลดไหม (ควร < 0.1)

แนะนำ
ใช้ PageSpeed Insights หรือ [Lighthouse] ใน Chrome เช็กคะแนนของเว็บตัวเองได้เลย

องค์ประกอบหลักของ Page Experience มีอะไรบ้าง

Mobile Friendliness

เว็บของคุณต้องแสดงผลดีบนมือถือ เพราะปัจจุบันกว่า 80% ของผู้ใช้งานมาจากโทรศัพท์เช็กให้แน่ใจ

  • ฟอนต์ไม่เล็กเกิน
  • ปุ่มกดง่าย ไม่ติดกัน
  • ไม่มี Scroll ซ้าย–ขวา
  • ใช้ธีม Responsive จริง ไม่ใช่แค่สวยบนคอม

HTTPS Security

  • เว็บต้องเป็น HTTPS (มีแม่กุญแจบน URL) เพื่อความปลอดภัย
  • เว็บที่ยังเป็น HTTP แบบเก่า อาจถูก Google มองว่าไม่น่าเชื่อถือ

ถ้ายังไม่มี SSL Certificate รีบขอจากโฮสติ้งได้เลย ส่วนใหญ่ให้ฟรี

No Intrusive Interstitials

Google ไม่ชอบ “ป๊อปอัป” ที่บดบังเนื้อหาหลักของเว็บเช่น

  • โฆษณาเด้งเต็มจอทันทีที่เข้าหน้า
  • กล่องให้กดไลก์ก่อนอ่าน
  • ปิดยากจนคนกดออกแทน

ใช้พอดี ๆ ยังได้ครับ เช่น popup ขนาดเล็กตอนจะปิดหน้านั้น หรือด้านล่างจอที่ไม่รบกวนเนื้อหา

แล้ว Page Experience มีผลต่อ SEO จริงไหม

คำตอบคือ มีแน่นอนค่ะGoogle ใช้ Page Experience เป็น “หนึ่งในหลายปัจจัย” ที่ช่วยตัดสินว่าเว็บไหนควรอยู่บนหน้าแรก โดยเฉพาะเมื่อเนื้อหาของเว็บสองเว็บใกล้เคียงกันมาก ยิ่ง UX ดี คนอยู่เว็บนาน Bounce Rate ต่ำ Google ชอบ

เพราะอย่าลืมว่า Google เองก็อยากให้ผู้ใช้งานได้รับประสบการณ์ดี ถ้าเว็บคุณโหลดช้า หน่วง หรือใช้งานลำบาก ลูกค้าออกก่อน Google ก็รู้ว่าเว็บนี้ “ไม่น่าพาไป”

แล้ว Page Experience มีผลต่อ SEO จริงไหม

แล้วจะปรับ Page Experience ยังไงแบบไม่ต้องเขียนโค้ด?

สำหรับเจ้าของธุรกิจที่ใช้ WordPress หรือระบบเว็บสำเร็จรูปสามารถเริ่มจากจุดเล็ก ๆ ได้เลย

  • บีบอัดรูปก่อนอัป (ใช้ TinyPNG หรือแปลงเป็น WebP)
  • ใช้ธีม Responsive ที่แสดงผลดีทุกหน้าจอ
  • ติดตั้งปลั๊กอิน Cache เช่น LiteSpeed Cache / WP Rocket
  • ใช้ CDN อย่าง Cloudflare
  • ล้างปลั๊กอิน/โค้ดที่ไม่จำเป็น
  • เปลี่ยนเป็น HTTPS และติด SSL
  • เช็ก PageSpeed ทุกหน้า ไม่ใช่แค่หน้าแรก

เคล็ดลับพิเศษจากแอดมิน

  1. ใส่ลิงก์ภายในให้คนคลิกต่อในเว็บGoogle จะมองว่าเว็บคุณมีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องและน่าอยู่
  2. อย่าให้เนื้อหาซ้อนกัน / ย่อเกินไปบนมือถือเว็บสวยแต่กดไม่ได้ ถือว่า UX พังค่ะ
  3. ติดตั้ง Heatmap / Session Record อย่าง Hotjar จะเห็นเลยว่าคนใช้งานเว็บของคุณยังไง คลิกตรงไหน ค้างหน้าไหนนานเอา insight เหล่านี้มาปรับเว็บให้ดีขึ้นได้เรื่อย ๆ

เขียน/เรียบเรียงโดย: บจก. มูฟออน มาร์เก็ตติ้ง จำกัด
LINE ID : @moveonmarketing
Mobile : 064 989 9797
Email : [email protected]

หากสนใจบริการ SEO มาดูทางนี้ครับ : Moveonmarketing.com/seo